7/16/2562

เจาะลึกความเชื่อมโยงของเพจ Suara Patani



กรณีเมื่อ 11 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.30 น.เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นางสาวไซนับ เฮาะยา บ้านเลขที่ 58 ม.2 ต.เกะรอ อ.รามัน จ.ยะลา ซึ่งทราบว่า นางสาวไซนับ ประกอบอาชีพ ค้าขายเสื้อผ้า โดยไปรับเสื้อผ้า จากประเทศอินโดนีเซีย กลับมาขายทางออนไลน์ ปลีก-ส่ง ก่อนหน้านี้ ได้เดินทางไปกับเพื่อนๆไปรับเสื้อผ้าที่อินโดนีเซีย ระหว่างเดินทางกลับถึงด่าน อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ถูกควบคุมตัว นำตัวไปสอบสวน
          ล่าสุดทราบว่า นางสาวไซนับ ให้การยอมรับว่า เป็นผู้แชร์ข้อความ รูปภาพที่ไม่เหมาะสมและภาพเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ จชต. ลงในเพจ Suara Patani จริง โดยใช้ Facebook ชื่อ Berjiwa Progresif ซึ่งการกระทำดังกล่าว มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 
          เบื้องลึก พบว่า น.ส.ไซนับ เป็นพี่สาว นายอามีน เฮาะยา สมาชิกกลุ่ม ผกร.ระดับปฏิบัติการ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิด เจ้าหน้าที่ อส.ไม้แก่น เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 และเหตุลอบวางระเบิด ชุดลาดตระเวน ร้อย ทพ.4412 เสียชีวิต 4 นาย ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 อีกทั้ง น.ส.ไซนับ มีพี่สาวชื่อ นางรอกีเยาะ เฮาะยา เป็นภรรยาของ นายอุสมาน ดิง พฤติกรรมเป็นสมาชิก ผกร. ฝ่ายโลจิสติก เครือข่าย ผกร.ปฏิบัติการในพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ซึ่งในอดีตเคยถูกจำคุกคดีความมั่นคง ปัจจุบันได้รับการอภัยโทษ
          เมื่อทราบข้อมูลเชิงลึกแบบนี้แล้ว คงไม่ต้องบอกนะครับว่า เพจ Suara Patani เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จชต. ที่ผ่านมา การชี้นำบิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายกรณี เช่น เหตุการณ์แรก กรณีเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในพื้นที่หมู่ 4 ต.กาตอง อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อ 27 พ.ค.62 วิสามัญ นายอับดุลเลาะ ลาเต๊ะ ผกร.ระดับสั่งการเสียชีวิต เพจ Suara Patani บิดเบือนเจ้าหน้าที่ฆ่าเสร็จแล้วก็เผาบ้านเพื่อทำลายหลักฐาน และขโมยทรัพย์สินของ นางสาวมาสนะ ยะผา เจ้าของบ้านในระหว่างเข้าทำการตรวจสอบ เหตุการณ์ที่สอง เหตุคนร้ายลอบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย ขณะกำลังละหมาดภายในมัสยิดนูรุลอีบาดะห์ บ้านมายอ หมู่ 6 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เพจ Suara Patani มีการบิดเบือนเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ เนื่องจากขัดแย้งกันเองแล้วโยนผิดให้ขบวนการ
          เหตุการณ์ที่สาม คนร้ายแต่งกายชุดดำคล้าย จนท. ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่ ชคต.ประจัน เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ อส.ชคต. เสียชีวิต จำนวน 4 นาย และคนร้ายได้นำอาวุธปืน HK-33 จำนวน 4 กระบอกหลบหนีไป หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังไล่ล่าติดตามกลุ่มคนร้าย และได้เกิดการปะทะกับกลุ่มคนร้ายบริเวณใกล้ๆ มัสยิดกรือเซะ สามารถควบคุมตัวคนร้ายได้ 1 คน คือ นายมะกรี อิสอปุเต๊ะ ในเวลาต่อมา เพจ Suara Patani ได้ออกมาบิดเบือนว่า คนร้ายที่เจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้นั้น เป็นเพียงคนเลี้ยงปลาดุกและรับส่งไส้ไก่ที่บ่อดิน
          การบิดเบือนของเพจ Suara Patani มีมากกว่านี้ ที่ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นการบิดเบือนความจริงการพยายามแก้ต่างให้กับคนร้าย สร้างความสับสนของข้อมูลและให้เกิดความเข้าใจผิด เมื่อความจริงปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นผลจากการพิสูจน์ปลอกกระสุนหรือวัตถุพยานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ หรือแม้กระทั่งผู้เสียหายเองได้ออกมายืนยัน รวมถึงผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวได้ยอมรับสารภาพความจริง จนนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ เพจ Suara Patani ไม่เคยออกมายอมรับ กลับเดินหน้าสร้างข่าวเท็จ เขียนข่าวลวง กล่าวหาใส่ร้ายต่อไปอย่างหน้าไม่อาย...
--------------------------

อดีตนักข่าวชื่อย่อ มฮ.ร ผู้ผันตัวเองเล่นการเมืองกับการเคลื่อนไหวขยายผลความขัดแย้ง


           

            หากเอ่ยชื่อ เด็กหนุ่มไฟแรงคนหนึ่ง ชื่อย่อ "มฮ.ร" ซึ่งเป็นอดีตนักสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามสำนักข่าวแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็น สส. สอบตกกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คนในพื้นที่อาจจะร้องอ๋อ!! ผู้คนทั้งประเทศอาจจะเห็นบทบาทในการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวในทีวี ได้ยินเสียงในการรายงานข่าวทางสถานีวิทยุกระจายเสีย แต่ไม่รู้!! ไม่ทราบอีกบทบาทหนึ่งของอดีตนักสื่อสารมวลชนผู้นี้ทำอะไร?
          จากเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของคุณ มฮ.ร ในฐานะที่ประชาชนทั้งประเทศรู้จัก แต่อีกแง่มุมหนึ่ง อาจจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง การทำหน้าที่สื่อที่เอนเอียง  ไม่เป็นกลาง  เป็นปากเป็นเสียงแทนขบวนการ รู้สึกเสียดายเงินเดือน ค่าจ้างที่รัฐวิสาหกิจๆ หนึ่ง ต้องจ่ายให้
          คุณ มฮ.ร ผันตัวเองจากผู้สื่อข่าว ก้าวสู่เส้นทางการเมือง ลงสมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในนามพรรคๆ หนึ่ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมาอ้างว่า ก้าวเข้ามา เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และก้าวเข้ามาเพื่อยกระดับสังคมมุสลิมให้ดีขึ้น พร้อมกับสร้างความเสมอภาคของชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาในประเทศไทย ทั้งหมด ทั้งสิ้น  แค่คำกล่าวอ้าง!! คำตอบที่แท้จริงอยู่ในใจ คุณ มฮร.ทราบดี เพื่อใคร?
          ในช่วงหาเสียงโค้งสุดท้าย คุณ มฮ.ร ได้ออกมาโวยวาย ป้ายหาเสียงถูกทำลาย หรือทิ้งไว้ข้างทางเกือบ 10 ป้าย รถยนต์ที่ใช้หาเสียงถูกผู้ไม่หวังดี ขับมาเฉี่ยวชน เฟสบุ๊คมีผู้ไม่หวังดีรีพอร์ตว่า ละเมิดมาตรฐานเฟสบุ๊ค ทำให้ถูกบล็อกการใช้งาน
          คุณ มฮ.ร เคยสำเหนียกตัวเองหรือไม่? อีกทั้งเคยส่องกระจกสำรวจตัวเองมั๊ย!! ในอดีตที่ผ่านมาได้ก่อวีรกรรมอะไรไว้บ้าง ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติจริงหรือ!! การถูกทำลายป้ายหาเสียงก็ดี การถูกรีพอร์ตว่าละเมิดมาตรฐานเฟสบุ๊คก็ดี หรือแม้กระทั่งรถยนต์ที่ใช้หาเสียง ถูกผู้ไม่หวังดี ขับมาเฉี่ยวชน ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
          หากสำรวจเนื้อหาการเคลื่อนไหวในเฟสบุ๊คของ คุณ มฮ.ร เอ๊ย!! นี่มันแนวร่วมชัดๆ ไม่สงสัยเลย ทำไมเฟสบุ๊คถึงถูกรีพอร์ต หากยังมีบทบาทในฐานะผู้สื่อข่าว ไม่รู้เหมือนกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาของคุณไม่น่าไว้วางใจ เช่น การสัมมนาสื่อที่เขื่อนบางลาง คุณ มฮ.ร กล่าวโจมตี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า อยู่เบื้องหลังเพจผีที่เปิดโปงโจรใต้ หรือกรณี คุณ มฮร. ไปร่วมกิจกรรมกินข้าวยำปอเนาะญีฮาด มีภาพ คุณ มฮ.ร หลุดออกมา บอกเพียงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เวลาคือ เครื่องพิสูจน์  มาวันนี้รู้แล้วว่า คุณ มฮ.ร คิดอะไรอยู่
          ล่าสุดกับการออกมาเคลื่อนไหวของคุณ มฮ.ร ในเรื่อง การลงทะเบียนซิมการ์ด จชต. มีการใช้รูปแบบเดิมๆ ด้วยการโทรศัพท์มายัง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หาคำตอบในเรื่องดังกล่าว มีการสาธยายต่อว่าเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถตอบคำถาม!! หรือให้ความกระจ่างชัดแก่ตัวเองได้
          การก้าวเข้ามาเล่นการเมืองของ คุณ มฮ.ร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นหมากตัวหนึ่ง ที่มีการวางแผนเพื่อให้มี สส.จากพื้นที่ จชต.เข้าไปมีบทบาทอยู่ในแทบทุกพรรคการเมือง จะเห็นได้ว่าการจับมือกันของบรรดา สส.ในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นฝากฝั่ง พรรคฝ่ายค้านหรือแม้กระทั่ง พรรคร่วมรัฐบาล มีการเคลื่อนไหวในสภา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน หรือเพื่อใคร?
          การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในพื้นที่ จชต. มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดสังเกต  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวร่วมที่เจ้าหน้าที่พยายามที่จะสืบค้นต้นตอแหล่งที่มาของเพจเฟสบุ๊คที่คอยปลุกระดมสร้างความวุ่นวาย แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะถูกอำพรางสถานะ ยากแก่การสืบค้น แต่คุณ มฮ.ร น่าจะทราบดีใครเป็นผู้โพสต์ ใครอยู่เบื้องหลังเพจเหล่านั้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณ มฮ.ร ได้นำข้อมูลในเพจเหล่านี้ มาช่วยแชร์และขยายผลอยู่ตลอดเวลา
          ในเมื่อผันตัวเองเป็นนักการเมือง ควรทำหน้าที่ดูแล พี่น้องประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มิใช่เคลื่อนไหวเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มเคลื่อนไหวนอกกฎหมายเหมือนที่ คุณ มฮ.ร กำลังทำอยู่ในปัจจุบันและเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
----------------------

7/15/2562

สันติ ดอเลาะ นักเลงคีบอร์ดที่ไม่เคยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม



ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผู้เล่นเฟสบุ๊คคงจะคุ้นเคยกับชื่อสันติ ดอเลาะ ที่ได้สร้างความปั่นป่วนในสื่อสังคมออนไลน์ รูปแบบการโพสต์สร้างความแตกแยกของผู้คน สร้างความหวาดระแวงระหว่างศาสนา อีกทั้งยังข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐผ่านเฟสบุ๊คอีกด้วย
          แต่แล้ว จุดจบนักเลงคีบอร์ด สันติ ดอเลาะ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จู่โจมจับกุมตัวได้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2559 ได้ที่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 1 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พร้อมด้วย นายการียา แลเย๊าะ (บิดา) และนางคอลีเย๊าะ สมาแห ( มารดา) มาทำการซักถาม ณ ฉก.ทพ.42 และต่อมาได้นำตัวนายสันติ ดอเลาะ ไปทำการตรวจค้นบ้านของ นางมือแย สะมาแห (ยาย) ณ บ้านเลขที่ 31/1 ม.1 ต.สาบัน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ผลการปฏิบัติ สามารถตรวจยึดโทรศัพท์ จำนวน 2 เครื่อง
          เมื่อนำตัวมาซักถาม นายสันติ ดอเลาะ ได้ให้การยอมรับว่าตนเองได้ใช้ชื่อเฟสบุ๊ค สันติ ดอเลาะ จำนวน 9 เฟส และ พุทธควย สยามบาบีและจากการตรวจสอบโทรศัพท์ที่ซุกซ่อนภายในบ้านของ นางมือแย สะมาแห
          หลังจากนั้นข่าวคราวของ นายสันติ ดอเลาะ เงียบหงายไป ซึ่งในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกประวัติไว้ พร้อมทั้งได้เตือนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อไม่ให้สร้างความแตกแยก ยุยงส่งเสริมให้มีความเกลียดชังกัน อีกทั้ง สันติ ดอเลาะ ในสื่อสังคมออนไลน์ก็ได้หายไปจากสารบบพักใหญ่ๆ
          ไม่มีใครรู้ได้ว่า นายสันติ ดอเลาะ ได้หยุดพฤติกรรมสร้างความแตกแยก สร้างความหวาดระแวงระหว่างศาสนา และข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐผ่านเฟสบุ๊คตามที่ได้รับปากจริงหรือไม่
          แต่แล้วข่าวคราว นายสันติ ดอเลาะ ได้มีการกล่าวถึงอีกครั้ง เมื่อแหล่งข่าวได้ให้ข้อมูลว่าวันที่ 30 มิถุนายน 2562 เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจกฎอัยการศึกได้ควบคุมตัว นายสันติ ดอเลาะ ได้ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และควบคุมตัวเข้าศูนย์ซักถามแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี
          นายสันติ ดอเลาะ มีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการเผยแพร่ข้อความที่ไม่เหมาะสมจาก เพจ Suara Patani ซึ่งมีความผิดกรณีเดียวกับ นางสาวไซนับ เฮาะยา แม่ค้าขายเสื้อผ้าออนไลน์ ชาว จ.ยะลา ซึ่งถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 ที่ด่าน ตม.สุไหโกลก จ.นราธิวาส
          การกระทำความผิดครั้งแล้วครั้งเล่าของ นายสันติ ดอเลาะ เจ้าหน้าที่ให้โอกาสในการกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีของสังคม แต่น่าแปลกใจที่ไม่ยอมรับโอกาสที่เจ้าหน้าที่หยิบยื่นให้ ยังคงเดินหน้าสร้างความแตกแยกในสังคมโดยไม่เคยสำนึกตนเป็นคนดี ขอฝากไปยังนักเลงคีบอร์ดที่ยังหย่ามใจโจมตี บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาว่าร้ายบุคคลอื่น หรือใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ แม้กระทั่งผู้ใช้เฟสบุ๊คที่มีการแชร์ต่อข้อมูลที่ไม่เหมาะสม การแสดงความคิดเห็นที่หมิ่นเหม่ ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ให้ระวัง!! จะถูกควบคุมตัวเช่นเดียวกับ นายสันติ ดอเลาะ และ นางสาวไซนับ เฮาะยา อย่ามาโอดครวญทีหลังก็แล้วกัน....หาว่าไม่เตือน!!
-----------------

7/14/2562

นางสาวไซนับ ถูกควบคุมตัวกับความเชื่อมโยงเพจผี Suara Patani



กรณีเมื่อ 11 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.30 น.เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นางสาวไซนับ เฮาะยา บ้านเลขที่ 58 ม.2 ต.เกะรอ อ.รามัน จ.ยะลา ซึ่งทราบว่านางสาวไซนับประกอบอาชีพค้าขายเสื้อผ้าโดยไปรับเสื้อผ้าจากประเทศอินโดนีเซีย กลับมาขายทางออนไลน์ ปลีก-ส่ง ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปกับเพื่อนๆไปรับเสื้อผ้าที่อินโดนีเซีย ระหว่างเดินทางกลับถึงด่าน อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส
          ทันทีที่นางสาวไซนับ ถูกควบคุมตัวที่ด่าน ตม.สุไหโกลก สื่อแนวร่วม ไม่ว่าจะเป็น เพจ: Watani, เพจ: ศูนย์ติดตามข้อมูลการควบคุมประชาชนจังหวัดชายแดนใต้, เพจ: Melayu Patani, เพจ: SUARA FB และผู้ใช้เฟสบุ๊คอีกจำนวนหนึ่งได้โพสต์ข่าวดังกล่าว และเคลื่อนไหวกล่าวหาโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ละเมิดสิทธิมนุษยชนสตรี ชี้นำบิดเบือนเจ้าหน้าที่รังแกผู้หญิงที่ทำมาหากินสุจริต แม้กระทั่งขายเสื้อผ้าออนไลน์ยังโดนจับ คนค้ายาบ้ากลับลอยนวล
          การออกมาชี้นำ บิดเบือนของสื่อแนวร่วม ไม่ได้มีการนำเสนอข้อเท็จจริงรอบด้านให้กับผู้อ่าน ตั้งใจนำเสนอให้เห็นว่า นางสาวไซนับ ประกอบอาชีพสุจริต เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กแต่กลับถูกรังแก อีกทั้งได้ตั้งคำถามเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวด้วยกฎหมายอะไร กฎอัยการศึก พรก.ฉุกเฉิน หรือ หมาย ป.วิอาญา และมีการหยอดให้ผู้เสพข่าวคิดเชิงลบต่อเจ้าหน้าที่รัฐว่ารังแกประชาชนด้วยกฎหมายพิเศษ
ข้อเท็จจริง นางสาวไซนับ ถูกควบคุมตัว
          ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข่าวที่พอเชื่อถือได้ การที่ นางสาวไซนับ ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวที่ด่าน ตม.สุไหโกลก จ.นราธิวาสในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก นางสาวไซนับ ซึ่งใช้ชื่อในเฟสบุ๊คว่า Berjiwa Progresif ซึ่งในโปรไฟล์ระบุเพศ ชาย มีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการเผยแพร่ข้อความที่ไม่เหมาะสมลงใน เพจ Suara Patani ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายสันติ ดอเลาะ ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ซึ่งมีความผิดกรณีเดียวกับ นางสาวไซนับ ไปทำการสอบสวนเช่นกัน
          นางสาวไซนับ เฮาะยา ในห้วงที่ผ่านมาประกอบอาชีพขายเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ทาง Facebook นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ในขณะเดียวกันตัวตนอีกด้านหนึ่งของ นางสาวไซนับ มีพฤติกรรมที่ส่อว่านิยมความรุนแรง ด้วยการปลุกระดม และมีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงใน จชต.อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งเชื่อได้ว่า นางสาวไซนับ มีความเชื่อมโยงกับสื่อแนวร่วม เพจ Suara Patani ที่เคลื่อนไหวโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อเท็จจริงและกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐ
          ตัวอย่างการบิดเบือนของ เพจ Suara Patani กรณีเจ้าหน้าที่วิสามัญ นายอับดุลเลาะ ลาเตะ ผกร.ในพื้นที่ ม.4 ต.กาตอง อ.ยะหา จ.ยะลา มีการบิดเบือนเจ้าหน้าที่ฆ่าเสร็จแล้วก็เผาบ้านเพื่อทำลายหลักฐานบางอย่าง และขโมยทรัพย์สินของ นางสาวมาสนะ ยะผา เจ้าของบ้านในระหว่างเข้าทำการตรวจสอบ และกรณี คนร้ายลอบยิง จนท.ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย ขณะกำลังละหมาดภายในมัสยิดนูรุลอีบาดะห์ บ้านมายอ หมู่ 6 ต.ธารโต อ.ธารโต ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ เนื่องจากขัดแย้งกันเองแล้วโยนผิดให้ขบวนการ ซึ่งหลายๆ เหตุการณ์เมื่อความจริงปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นผลจากการพิสูจน์ปลอกกระสุนหรือวัตถุพยานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ แม้กระทั่งผู้เสียหายเองได้ออกมายืนยัน รวมถึงความคืบหน้าของคดีมีการออกหมายจับกุมผู้ก่อเหตุ แต่แอดมิน เพจ Suara Patani กลับหน้าด้านไม่เคยออกมารับผิดชอบใดๆ ต่อการกระทำ ยังคงทำการปลุกระดม บิดเบือนความจริงให้เกิดความเกลียดชังสร้างความแตกแยกของผู้คนในสังคม มุ่งสร้างความหวาดระแวงต่อกันระหว่างผู้คนต่างศาสนา..
----------------------

7/11/2562

นายอาหามะ ยิงสองสามีภรรยาใบ้เสียชีวิต.. กรรมติดจรวดหนีไปตาย


           

           กรณีเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าพบความเคลื่อนไหวของบุคคลต้องสงสัย ในพื้นที่ ต.ตอหลัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี จึงจัดกำลังเข้าตรวจสอบพบศพ นายอาหามะ มะอะ พฤติกรรมเป็น ผกร.ระดับปฏิบัติการ มีหมายจับ ป.วิอาญา 2 หมาย อีกทั้งยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุร้ายอีกหลายคดี แต่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ จนกระทั่งมาก่อเหตุฆ่า 2 สามีภรรยาผู้พิการใบ้จนเสียชีวิต ขณะหลบหนีไปเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการสืบสวน สภ.ยะหริ่ง จึงเกิดการปะทะกันขึ้นจนกระทั่งคนร้ายหลบหนี และพบคนร้ายกลายเป็นศพดังกล่าว
          สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตยืนยันผลจากการชันสูตรศพของแพทย์พบสาเหตุเกิดจากการขาดอากาศหายใจและมีน้ำในปอดเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการขับรถตกในคลองชลประทานขณะหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่
          ในขณะเดียวกันสื่อแนวร่วมและผู้คิดต่างจากรัฐกลับชี้นำการเสียชีวิตของ นายอาหามะ มะอะ เจ้าหน้าที่ปะทะกับแพะมือเปล่า เมื่อจะฆ่าคนปาตานีบอกว่าปะทะโจรใต้
          นายอาหามะ มะอะ ไม่ได้เป็นแพะ ประวัติเป็น ผกร.ระดับปฏิบัติการ มีหมายจับ ป.วิอาญา 2 หมาย อีกทั้งยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุร้ายอีกหลายคดี ที่สำคัญเพิ่งก่อเหตุฆ่าสองสามีภรรยาใบ้เสียชีวิต กำลังหลบหนีแต่กรรมตามทันดันมาเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดการปะทะกันขึ้น รักกลัวตัวตายหนีหัวซุกหัวซุนขับรถตกลงไปในคลองชลประทาน
          การเสียชีวิตของนายอาหามะ มองได้หลายประเด็นและสื่อให้เห็นอะไรได้หลายๆ อย่าง เช่นสาเหตุการตายเกิดจากการขาดอากาศหายใจ ขณะหลบหนี จยย.ตกในคลองชลประทาน นายอาหามะ ตายโดยทันทีหรือไม่? หรืออาจจะบาดเจ็บยังไม่ถึงตายทันที เหตุไฉนเพื่อนร่วมอุดมการณ์จึงไม่ช่วยพาหลบหนี หากจะมองอีกด้านการพาผู้บาดเจ็บหลบหนีอาจจะเป็นภาระ เลยลงมือฆ่านายอาหามะด้วยการกดให้จมน้ำตายเสียเลยดีกว่าจะได้หนีสะดวกและเอาตัวรอดได้ อีกทั้งเป็นการปิดปากเพื่อไม่ให้แพร่งพรายความลับกับเจ้าหน้าที่
          นี่หรือ!! นักรบโจรใต้ที่มีอุดมการณ์ เมื่อเพื่อนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตกลับทิ้งกันได้ลงคอเช่นนี้หรือ!! นักรบผู้กล้าที่ขบวนการเยินยอที่แท้ดีแต่ทำร้ายผู้ไม่มีทางต่อสู้ เด็ก ผู้หญิง คนชราและผู้พิการ ถึงคราวถูกไล่ล่าบ้างกลับหนีสุดชีวิตรักตัวกลัวตายขึ้นมาทันที... จากเหตุการณ์ที่เกิดสามารถยืนยันได้ว่า ผกร.ระดับปฏิบัติการเหล่านี้เป็นเพียงอาชญากรที่มุ่งทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไร้ซึ่งอุดมการณ์ลงมือก่อเหตุเพียงเพื่อสนองตัณหาและอุดมการณ์จอมปลอม เพื่อประโยชน์ของกลุ่มแกนนำที่เสวยสุขในต่างแดน 
-------------------

7/10/2562

อย่าปล่อยให้คนชั่วเพียงเพื่อคึกคะนองฆ่าสองสามีภรรยา(ใบ้)ลอยนวล


         กรณีเหตุสะเทือนขวัญ คนร้ายจำนวน 4 คน ขับขี่รถ จยย. เป็นพาหนะลงมือก่อเหตุ โดยใช้อาวุธปืน ยิงนายรัชวุฒิ แก้วศรี และนางสุภัสสร ปัจฉีมานนท์ 2 สามีภรรยาเสียชีวิต เมื่อบ่ายวันที่ 9 ก.ค.62 เหตุเกิดในพื้นที่บ้านตอหนัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
นายรัชวุฒิ แก้วศรี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนนางสุภัสสร ปัจฉีมานนท์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส นำส่ง รพ.ยะหริ่ง ทนเจ็บพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้เสียชีวิตทั้งสองรายเป็นสามีภรรยากันทราบว่าไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดเหมือนคนปกติโดยทั่วไป (เป็นใบ้) โดยพื้นเพนายรัชวุฒิ (สามี) เป็นคน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ส่วนนางสุภัสสร (ภรรยา) มีภูมิลำเนาแขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม. มีความสุขตามประสาคู่รัก แต่ไม่คาดคิดมัจจุราชในร่างซาตานใช้คมกระสุนพรากชีวิตทั้งสองไป
         เหตุร้ายดังกล่าวเกิดขณะ นายรัชวุฒิ ขับขี่รถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีน้ำเงินดำ หมายเลขทะเบียน กลก 981 ปัตตานี โดยมี นาง.สุภัสสร ภรรยานั่งซ้อนท้าย เพื่อเดินทางไปทำธุระในพื้นที่ อ.ยะหริ่ง จนกระทั่งมาถึงบริเวณถนนสาย 42 บ้านตอหลัง หมู่ที่ 1 ต.ตอหลัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี คนร้ายจำนวน 4 คน ขับขี่รถ จยย.จำนวน 2 คัน เป็นพาหนะใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงใส่ทางด้านหลังทั้งคู่จนเสียชีวิตดังกล่าว
          เวลาต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ยะหริ่ง ได้ตรวจพบบุคคลต้องสงสัย ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ จำนวน 4 คน ขับขี่รถ จยย. จำนวน 2 คัน เป็นพาหนะ ขับขี่ผ่านมาบริเวณถนนเลียบคลองชลประทาน บ้านตอหลัง หมู่ที่ 1 ต.ตอหลัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น แต่กลับถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่ ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้น กลุ่มคนร้ายได้ทิ้งรถ จยย.วิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้านนายกเทศมนตรีตำบลตอหลัง เจ้าหน้าที่ได้จัดชุดไล่ติดตาม นำตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ..
         ข้อมูลเชิงลึกกลุ่มคนร้ายที่ในลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ 1 ใน 4 คือนายมาหะมะ สะอิ สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการที่เคลื่อนไหวก่อเหตุในพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง, อ.ปะนาเระ, อ.ยะหริ่ง และ อ.มายอ จ.ปัตตานี ซึ่งนายมาหะมะ สะอิ มีหมายจับ ป.วิอาญา 13 หมาย

        พฤติกรรม นายมาหะมะ สะอิ ผกร.ระดับปฏิบัติการผู้นี้ เสพติดกับการฆ่าผู้บริสุทธิ์ จนเป็นพฤติกรรมของอาชญากรต่อเนื่อง นายมาหะมะ สนุกกับการฆ่าคน เป็นฮีโร่ในกลุ่มและเป็นความท้าทายที่ลงมือฆ่าเหยื่อแล้วหลบหนีได้ หากส่องประวัติกับการมีคดีติดตัวถึง 13 หมาย ป.วิอาญา เคยลงมือก่อเหตุกระทำชั่วมาแล้วอย่างโชกโชน ถ้าไม่หยุดยั้งคนเลวอย่างนายมาหะมะ  จะสร้างความฮึกเหิมก่อเหตุแล้วหนีลอยนวล จะพัฒนาไปสู่การเอาเยี่ยงอย่างเป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่ไม่กลัวเกรงกฎหมายเป็นความเลวร้ายและเป็นภัยต่อสังคม
          อย่าปล่อยให้โจรชั่วทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์สองสามีภรรยาแล้วหนีลอยนวล โดยที่ขบวนการไร้ความรับผิดชอบต่อการกระทำ อย่าให้เห็นว่าการฆ่าคนเพียงเพื่อความคึกคะนอง (กระทำต่อผู้อ่อนแอไร้ทางต่อสู้) เป็นฮีโร่ในกลุ่มหรือ? พฤติกรรมเช่นนี้เป็นคนที่ขี้ขลาด เป็นโจรที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้ศีลธรรม สมควรที่ทุกภาคส่วนต้องออกมาประณาม องค์กรที่ใฝ่หาสันติสุขก็ดี กลุ่มที่แสวงหาทางออกสันติภาพก็ดี ไม่ควรนิ่งนอนใจจะต้องคิดทบทวนความเลวร้ายของสังคม จะต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมคึกคะนองกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์กับแนวทางอุดมการณ์ มิใช่เหมารวมยกเข่งว่าการเข่นฆ่าคนต่างศาสนา เป็นการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ หากเป็นเช่นนั้น!! ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องจะต้องมีส่วนรับผลในบาปนั้นด้วย...



-------------------------

7/09/2562

ยกเลิก“กฎอัยการศึก”หมากเกมใหม่ของ PerMAS



การสร้างแคมเปญรณรงค์ของ สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ในเว็บไซต์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง (change.org) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา เห็นด้วยกับการยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้/ปาตานีหรือไม่ ซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวมีผู้ใช้งาน 297,830,235 คนทั่วโลก


          โดยส่วนขยายใจความมีการให้รายละเอียดว่า การประกาศใช้กฎอัยการศึก เป็นการให้ทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน อำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย เมื่อสอบถามแล้วหายสงสัยก็จะปล่อยตัวกลัว และสามารถเชิญตัวมาอีกได้ครั้งถัดไปได้ ถือเป็นกฎหมายที่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเป็นเหตุให้ไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกมากมาย
          ความพยายามของสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS มีการปลุกกระแสและชี้นำให้ประชาชนคิดต่างจากรัฐในเรื่องต่างๆ บรรดาสาวกในเครือข่าย PerMAS  เป็น อิควานมุสลิมีน ที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงต้องการผลักดันแนวทางการขับเคลื่อนด้านสิทธิในการกำหนดใจตนเอง (Right to Self-Determination) ในพื้นที่ จชต. มีการสร้างการรับรู้ทั้งในพื้นที่ นอกพื้นที่ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศให้เห็นว่าในพื้นที่แห่งนี้ เป็นพื้นที่สงคราม มีความขัดแย้งด้านอาวุธ และมีการละเมิดสิทธิมนุษยธรรม
          การสร้างแคมเปญรณรงค์ เห็นด้วยกับการยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้/ปาตานีหรือไม่ ความพยายามที่ผ่านมาของ PerMAS ในการเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ จชต. นั้น เพื่ออะไร? และใครได้ประโยชน์
          หากมีการกล่าวอ้างเคลื่อนไหวเพื่อประชาชน ถามว่าประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันต่อการประกาศใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่? จากการลงพื้นที่สอบถามความรู้สึกคำตอบที่ได้รับทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า แทบไม่รู้สึกและไม่มีความแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ของประเทศที่มีการใช้กฎหมายปกติ จะมีบ้างที่มีด่านตรวจเพื่อทำการตรวจตราสแกนหาสิ่งผิดกฎหมายและคนร้ายซึ่งแตกต่างจากพื้นที่อื่น
          กฎหมายพิเศษกับสามจังหวัดชายแดนใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา มีการบังคับใช้กฎหมายสามฉบับด้วยกัน กล่าวคือ หนึ่ง กฎอัยการศึก สอง พระราชกำหนดการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน) และ สาม มาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
          การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจะมีการพิจารณาทุกสามเดือน รัฐมีแผนผ่อนปรนและยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตลอดจนกฎอัยการศึกในบางพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีเหตุรุนแรง เช่นในพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี จะไม่ใช้กฎอัยการศึกแต่ใช้มาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 แทน เพื่อยืดหยุ่นให้แนวร่วมขบวนการเข้ารับการอบรมแทนการลงโทษได้
          เมื่อสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS มีการรณรงค์สร้างแคมเปญร่วมลงชื่อยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ปาตานี อีกทั้งการเคลื่อนไหวมิได้มุ่งเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนด้วยใจจริง แต่กระทำทุกวิถีทางเพื่อองค์กรและขบวนการที่ขับเคลื่อนงานการเมืองต้องการกำหนดใจตนเอง สรุปการยกเลิก กฎอัยการศึก เปรียบเสมือนหมากเกมใหม่ที่ต้องการสร้างกระแสกดดันรัฐบาลในช่วงยุคประชาธิปไตยหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดิมคือการแบ่งแยกดินแดน
-------------------

7/02/2562

เบื้องลึก!! ชนวนเหตุคนร้ายลอบยิง“อุซตาสสอและ”ได้รับบาดเจ็บ



กรณี คนร้ายดักซุ่มยิง นายยูโซะ ยะลา หรืออุซตาสสอและ ภายในโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม หรือปอเนาะพ่อมิ่ง อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี บาดเจ็บสาหัส ขณะกำลังเตรียมสตาร์ทรถเพื่อจะเดินทางไปละหมาด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา
หลังจากคนร้ายยิงอุซตาสในปอเนาะพ่อมิ่ง โลกออนไลน์ในพื้นที่ชายแดนใต้ มีการชี้นำข้อมูลปลุกระดมว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ เพจ: ประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนปาตานี ได้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายความมั่นคงเงียบกับเรื่องดังกล่าว ต่างกับเหตุพระ ยิงครูที่ผ่านมา มีการปลุกระดมคนไทยพุทธและบิดเบือนข้อมูลต่างๆ โดยกล่าวหาฝ่ายขบวนการยิงผู้บริสุทธิ์
หากวิเคราะห์หาสาเหตุจูงใจที่คนร้ายทำการลอบยิง อุซตาสซอและห์โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม หรือปอเนาะพ่อมิ่งในครั้งนี้ หากมองให้เป็นกลางไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือมีอคติต่อกัน ชนวนเหตุลึกๆ ปมสังหารมาจากอะไร? มาดูกัน
1. อย่างแรกเลย นายยูโซะ ยะลา หรืออุซตาสสอและ ไม่ได้เป็นตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ไม่เคยควบคุมตัวหรือบังคับขู่เข็ญไปทำการซักถาม เป็นเพียงแค่การเชิญตัวมาให้ข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
2. “อุซตาสสอและโดนยิงภายในบริเวณโรงเรียน และทราบว่าอุซตาสมีบ้านพักอยู่ในปอเนาะพ่อมิ่งอีกด้วย ที่สำคัญโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม หรือปอเนาะพ่อมิ่ง การเดินทางเข้า-ออก ภายในบริเวณโรงเรียนดังกล่าวของบุคคลภายนอกหรือบุคคลแปลกหน้าเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ที่สำคัญยิ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารด้วยแล้ว ยากยิ่งกว่าหลายเท่า ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทางผู้บริหารไม่อยากให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวภายในโรงเรียน
3. อาจจะมาจากปัญหาส่วนตัวของอุซตาสสอและ อีกทั้งอาจเกิดจากปัญหาความขัดแย้งภายในโรงเรียน หรืออาจจะล่วงรู้ข้อมูลเบื้องลึกที่สำคัญอะไรบางอย่างเข้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่อาจปฏิเสธเป็นชนวนเหตุนำมาสู่การลอบทำร้ายในครั้งนี้ได้แทบทั้งสิ้น
4. ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่าง อุซตาสสอและกับเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในยามที่ อุซตาสสอและเจ็บป่วยมีการดูแลเสมือนญาติสนิท เมื่อครั้งอุซตาสป่วยต้อตาอักเสบ เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยนี้ถึงกับพาไปรักษาตาที่โรงพยาบาลปัตตานี เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่มีสาเหตุใดเลยที่มาสนับสนุนว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ทำร้ายด้วยการลอบยิง อุซตาสสอและเสียเอง ซึ่งทำไปมีแต่สร้างความเสื่อมเสีย สร้างความแตกแยกระหว่างกัน
ล่าสุดอุซตาสสอและ ได้กล่าวกับบุคคลใกล้ชิดต่อประเด็นใคร? คือผู้ลอบยิงตนในครั้งนี้ อุซตาสยืนยันและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า ผู้ที่ลงมือก่อเหตุไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐแน่นอน อาจจะเป็นมือที่ 3 ที่ต้องการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง สร้างความเกลียดชังขึ้น ต้องการชี้นำสังคมให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐสร้างเงื่อนไขกับโรงเรียนปอเนาะและต่อพี่น้องมุสลิมและอีก 2-3 วันที่จะถึงนี้ ความจริงจะปรากฏจากผลการพิสูจน์ปลอกกระสุนที่ตกในที่เกิดเหตุ ผลชี้ชัดถึงความเชื่อมโยงกับอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ซึ่งจะรู้ว่าเป็นฝีมือของคนกลุ่มไหน และมีความเชื่อมโยงกับคดีใดบ้าง อย่างน้อยต่อการยืนยันของอุซตาสสอและ ว่าถูกมือที่ 3 ลอบยิงไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่ คงจะตอกหน้าผู้ที่ทำตัวอวดรู้อยู่ในตอนนี้ให้หน้าหงาย มิน่าล่ะ!!... บรรดาลิ่วล้อถึงดาหน้าออกมาโฆษณาชวนเชื่อชี้นำสังคมให้เห็นว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะอย่างนี้นี่เอง...
------------------

6/29/2562

กะเทาะเปลือก PerMAS กับ“ประชาธิปไตยสู่สันติภาพปาตานี”



เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชน ปาตานี (PerMAS) จัดเวทีแลกเปลี่ยน "ประชาธิปไตยสู่สันติภาพปาตานี" ณ. Patani Art Space โดยมีผู้ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยน ประกอบด้วย ณัฎฐา มหัทธนา นักกิจกรรมทางการเมืองประชาธิปไตย สูไฮมี ดูละสะ รองผู้อำนวยการ The Patani และ ฮาฟิส ยะโกะ ประธานสหพันธ์นิสิต นักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี (PerMAS)

หัวข้อในการเสวนา "ประชาธิปไตยสู่สันติภาพปาตานี" มีการตั้งวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูล แลกเปลี่ยนความเห็น ถึงประเด็นความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในปาตานี นำมาสู่สันติภาพที่ยึดโยงกับประชาชน

          เนื้อแท้จริงแล้วในการจัดกิจกรรมแทบทุกครั้งของ PerMAS ใครๆ ต่างรู้ดีว่ามีจุดประสงค์อะไร? ครั้งนี้ก็เช่นกันคงไม่มีอะไรแปลกแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ต้องการปลุกระดมโดยใช้วาทกรรม และแอบอ้างประชาชน

          การจัดกิจกรรมสาเหตุมาจาก สน.ปทุมวัน ออกหมายเรียก นายสุไฮมี ดูละสะ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร กลุ่ม The Patani อดีตประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS คดีเดียวกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจในข้อหาก่อให้เกิดความปั่นป่วน-กระด้างกระเดื่องและชุมนุมเกิน 10 คน

          การยึดโยงปัญหาทางการเมืองจากส่วนกลางกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองของคนในพื้นที่กับส่วนกลางที่มันแตกต่างกัน ซึ่งถูกต้องตามที่ นายสุไฮมี ได้กล่าวไว้ แนวคิดของ PerMAS หรือกลุ่มอื่นๆ ที่แตกกิ่งก้านสาขาในการเคลื่อนไหวมีแนวทางชัดเจนที่มุ่งไปสู่เอกราช แต่กลับสร้างวาทกรรมปิดบังซ่อนเร้นเลี่ยงบาลี หรือแม้กระทั่ง The Patani เองซึ่งเป็นศูนย์รวมอดีตแกนนำนักศึกษา PerMAS โดยเนื้อแท้แล้วยังทำงานขับเคลื่อนแยกกันเดินร่วมกันตีเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่วาดฝันไว้

          ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นและยืดเยื้อมาจนกระทั่งในปัจจุบัน เกิดจากกลุ่มผู้คิดต่างจากรัฐที่ใช้ความรุนแรงในการก่อเหตุ แทนการแก้ปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธี เมื่อมีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์เป็นเรื่องของความมั่นคง รัฐบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่กระทำผิด เป็นคดีอาญา อั้งยี่ ซ่องโจร นำตัวบุคคลเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่กลับถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน

          การกล่าวอ้างประชาธิปไตยเชื่อมโยงในเรื่องสิทธิมนุษยชนและสันติภาพเข้าด้วยกัน การเลือกตั้งที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรอกหรือ!! ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ตะแบงว่ามีการละเมิด มีการก้าวล่วงว่าถูกลิดรอนสิทธิ์ กลับพบว่าเป็นปัญหาของกลุ่มคนหน้าเดิมๆ ไม่ได้กระทบกับคนส่วนใหญ่ ส่วนวาทกรรมสันติภาพที่มีการใช้อย่างพร่ำเพรื่ออยู่ทุกวันนี้ แท้จริงแล้วกลุ่มและองค์กรไม่ได้ต้องการสันติภาพหรอก!! เบื้องลึกแล้วมีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น หรือไม่จริง!! เคยถามคนส่วนใหญ่ในพื้นที่มั๊ย!! ว่าต้องการอะไร? ที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เอกราช หรือ สันติสุขที่เค้าต้องการ!!
--------------------

6/23/2562

ลงทะเบียน 2 แชะอัตลักษณ์ ใครได้-ใครเสีย?


     

จากกรณี ที่มีการเคลื่อนไหวของเพจบางเพจในสื่อโซเซียล   ไม่เห็นด้วยกับการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์  การสแกนใบหน้าและอัตลักษณ์ ในพื้นที่ จชต.   ว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอ้างรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมายมาตรานั้น มาตรานี้  จนถึงขั้นเชิญชวนพี่น้อง ประชาชน ร่วมลงชื่อสนับสนุนคว่ำบาตรการดำเนินการดังกล่าว ในเวบเพจ change.org นั้น
      ในข้อเท็จจริง โครงการนี้ เริ่มดำเนินการ จริงจัง ตั้งแต่ ธ.ค.60 ซึ่งเป็นการขอความร่วมมือประชาชนทั้งประเทศ มาลงทะเบียนซิมโทรศัพท์  ซึ่งไม่ได้บังคับใช้ เฉพาะพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่ง การออกมาเรียกร้องของคนกลุ่มหนึ่ง จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ใครได้ - ใครเสียประโยชน์ จากการดำเนินการนี้ ซึ่ง พวกเรา พอจะร่วมวิเคราะห์ ได้ว่า
       ผู้ได้ประโยชน์ คือ 1.พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์  เพราะสามารถคุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่างๆของบุคคลด้วยระบบอัตลักษณ์   ป้องกัน การขโมยตัวตนบุคคลอื่นไปทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทางการเงิน การก่อเหตุรุนแรงต่างๆ ในพื้นที่  ผกร. ไม่สามารถสวมอัตลักษณ์ ซื้อซิมโทรศัพท์มาก่อเหตุ ทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น  2.เจ้าหน้าที่รัฐ สามารถบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มก่อเหตุ ผู้ให้การสนับสนุนและแนวร่วมจาก อัตลักษณ์ที่บ่งชี้ ได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
       ผู้เสียประโยชน์ คือ 1.กลุ่มก่อความไม่สงบ และแนวร่วม  ซึ่งมักใช้เบอร์ซิมการ์ดที่จดทะเบียนด้วยบัตรประชาชนผู้อื่น หรือสั่งซื้อซิมการ์ดผ่านอินเตอร์เน็ตจากนอกพื้นที่และประเทศเพื่อนบ้าน มาก่อเหตุ ภายหลังจากที่ลงทะเบียนซิมแล้ว กลุ่มคนร้าย จะถูกสืบสวน เพื่อจับกุมดำเนินคดีได้ โดยง่าย จะไม่สามารถอ้างได้ว่าเบอร์โทรศัพท์หาย หรือ ไม่ได้เป็นผู้ใช้งาน  2.กลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย กลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งใช้โทรศัพท์ ทำธุรกรรมด้านมืด หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมานาน  เมื่อถูก จนท.ตรวจสอบหรือติดตามความเคลื่อนไหว  จนนำไปสู่การถูกกวาดล้าง ทั้งเครือข่าย อาจเข้าไปนอนในคุก หมดอิสระภาพ
       สำหรับ กรณีการใช้ข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ จชต. ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พบว่า กระทบกระเทือน เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ชัดเจน  การเชิญร่วมลงทะเบียนซิมการ์ด จึงเป็นการดำเนินการโดยสมควร เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ หรือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อป้องกันประโยชน์สาธารณะ อีกด้วย
       ปัจจุบันตามร้านซื้อ-ขายโทรศัพท์  มีคนมาเปิดเบอร์ใหม่ทุกวัน และทุกคน ก็ต้องการให้สแกนใบหน้าเพื่อป้องกันผู้สวมสิทธิ์ ไปก่อคดีความต่างๆ ไม่มีใครขัดข้อง ไม่ยอมให้สแกนใบหน้า คงที่จะมีแค่ในพื้นที่ จชต. ที่พวกองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิ กลุ่มผู้มีอิทธิพล และกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง รวมถึง Muhummadrusdy, Romadon Panjor ,Anchana Heemmina และRosidah ออกมาดิ้นพล่าน เหมือนไส้เดือน โดนน้ำร้อนลวก..จึงสงสัยว่า คนพวกนี้ อยู่กลุ่มไหน?


---------------------

Siapakah yang membunuhkan keluarga penghulu kampung Bandang Kuwae.



Dalam era moden ini, kemajuan didalam teknologi moden yang sentiasa berubah ia telah memainkan peranan yang penting didalam kehidupan harian kita dan seolah-olah Media Sosial itu menjadi saluran komunikasi yang paling berkuasa kerana menjadi saluran yang dapat menyampaikan maklumat dan berita dan memberikan pendapat dengan bebas. Oleh itu, media yang bersatu dengan pihak yang mempunyai pendapat yang berbeza daripada kerajaan itu telah menggunakanlah mereka itu akan saluran ini untuk menyampaikan perasaan dan membuatkan motivasi dan menggoda dan membimbingkan idea-idea dengan tujuannya untuk membuat "Perikatan baru” untuk bersetuju dengan maklumat yang dibentangkan dia yang membawakan kepada kebencian akan pegawai kerajaan.

Operasi membunuh keluarga penghulu kampung Bandang Kuwae. Di sebalik motif membunuhkan itu, hanya Hasan Ni Sain sahaja yang tahu dengan baik. Dan jika kes ini menjadikan daripada operasi penyamun selatan maka dianggapkan sebagai rencang tindakan yang sangat realistis untuk mewujudkan unsur-unsur peristiwa untuk semua orang telah memandangkan ia akan bahawasanya ialah tindakkan pegawai kerajaan yang merupakan pekerjaan yang pandai bagi penyamun patani yang merupakan pelaburan yang berbaloi kerana satu tembakan bahkan boleh dua ekor burung ..


-----------------

6/18/2562

อยากรู้ไหม? ทำไมถึงต้องจับกุม นายสะการือนอง ชายชราวัย 68 ปี


จากกรณีที่ จนท. 3 ฝ่าย สนธิกำลังเข้าบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่หมู่ 2 บ้านบัวทอง ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา และได้ควบคุมตัวชายสูงวัย คือ นายสะการือนอง บินมะดีเย๊าะ อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นคณะกรรมการประจำมัสยิดในหมู่บ้านดังกล่าว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา
          กลายเป็นประเด็นให้สื่อฝ่ายแนวร่วมฯ และภาคประชาสังคม หยิบยกออกมาโจมตี การทำงานของ จนท.รัฐ โดยการใส่สีตีไข่ บิดเบือนข้อเท็จต่างๆ ว่า จนท.ปิดล้อมหมู่บ้าน จับชายชราแก่ผู้น่าสงสาร ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าไปทำอะไรผิดมา...  
          หลายท่านคงยังจำเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 ได้ดีในความอุกอาจและโหดร้ายของผู้ก่อเหตุ จากกรณีที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.ท.อดุลย์ รักษ์ปราช และ ร.ต.ต.แวรอมลี แวฮามะ จนท.ตร. สังกัด ตชด.44 ขณะประกอบพิธีละหมาดอยู่ภายในมัสยิดนูรูลฮีบาดะห์ (บ้านมายอ) หมู่ 6 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เป็นเหตุให้เสียชีวิตทั้งสองนาย
จากผลการตรวจพิสูจน์เครื่องกระสุนปืนของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบว่า “อาวุธปืนของคนร้ายที่ใช้ยิง 2 ตชด. มีความเชื่อมโยงกับคดีที่คนร้ายใช้ก่อเหตุมาแล้ว 5 คดี มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย” ซึ่งคดีทั้งหมดชี้ชัดว่าเป็นฝีมือกลุ่ม ผกร. ที่เคลื่อนไหวทำการก่อเหตุในพื้นที่ อ.บันนังสตา, อ.ธารโต จ.ยะลา
จากนั้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 จนท.ได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยหลายรายมาดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ ฉก.ทพ. 41 อ.รามัน จ.ยะลา โดย นายมะกอเซ็ง ลีอะละ บุคคลเป้าหมายหนึ่งในนั้นยอมเปิดปากให้การยอมรับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุยิง จนท.ตำรวจเสียชีวิต 2 นาย ขณะละหมาดในมัสยิดนูรูอีบาดะห์ โดยทำหน้าที่ดูต้นทาง และต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายมะกอเซ็ง ทำแผนประกอบคำรับสารภาพชี้จุดในการก่อเหตุ จำนวน 6 จุดด้วยกัน
จากการจับกุม นายมะกอเซ็ง ทำให้ทราบตัวกลุ่มผู้ร่วมก่อเหตุ จนนำไปสู่การออกหมายจับอีกหลายรายด้วยกัน  หนึ่งในนั้นคือ นายสะการือนอง บินมะดีเย๊าะ ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะตอบข้อสงสัยของใครหลายๆ คนว่า...ทำไม? จนท.ถึงต้องจับกุมชายชราวัย 68 ปีคนนี้ เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย 
การก่อเหตุในครั้งนั้นถึงแม้จะกระทำต่อ จนท.ก็ตาม ทำให้เราคิด และสงสัยมาโดยตลอดว่า...คนแบบไหนกันที่ฆ่าคนในมัสยิด ที่เปรียบเสมือนบ้านของพระเจ้าได้? คนแบบไหนกันที่ก่อเหตุเสร็จแล้ว กลับไปใช้ชีวิตปกติสุข เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น? และคนแบบนี้หรอกเหรอ ที่ทำเพื่อศาสนา และสมควรยกย่องเยี่ยงวีรบุรุษ?  

......................................................

6/17/2562

กลุ่ม/ขบวนการ สั่งระเบิดไม่เลือกว่า มลายู หรือ สิแย

           จากกรณีเกิดเหตุสะเทือนขวัญ  คนร้ายได้ลอบวางระเบิด บริเวณตลาดนัดบ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บ 22 ราย เหตุเกิดเมื่อ 27 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา   ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว   ได้เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมอย่างกว้างขวาง
           ในขณะที่ หน่วยงานข่าว ยังพบความเคลื่อนไหวกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เตรียมการก่อเหตุ โดยจะพัฒนารูปแบบการก่อเหตุ เพื่อให้เกิดความสูญเสียต่อเป้าหมายในวงกว้าง  ไม่ว่าจะเป็นข่าวกลุ่มกาปิเยาะแดง (กลุ่มรบพิเศษของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง) ที่เข้าไปเคลื่อนไหว เพื่อเตรียมก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ บ้านช้างเผือก หมู่ที่ 7 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส  หรือการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ ในพื้นที่ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ได้สั่งการให้แนวร่วม เคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน ๒ ลูก เพื่อเตรียมก่อเหตุต่อเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่   
          การก่อเหตุสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างกว้างขวาง  ในขณะที่ คนสั่งการนั่งเสพสุขบนความเดือดร้อนเพื่อนมนุษย์ คนก่อเหตุ รับเงินแล้วหนีกบดานในป่า ในเขา เมื่อถูกจับดำเนินคดี ครอบครัวไม่มีที่พึ่ง ดำเนินชีวิตอย่างยากไร้ ผู้เคราะห์ร้ายต้องสังเวยชีวิต เสียเลือด เสียเนื้อ ดังเช่น คดีลอบวางระเบิดห้างบิ๊กซี อ.เมือง จว.ป.น. เมื่อ 9  พ.ค.60   คดีระเบิดตลาดนัดบ่อทอง ที่ผ่านมา ฯลฯ
          จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง วางแผนก่อเหตุทุกพื้นที่ โดยไม่เลือกวัน เวลา สถานที่ ไม่เลือกว่า มลายู หรือ สิแย  มุ่งทำเพื่ออุดมการณ์จอมปลอม เท่านั้น

***********************************

6/16/2562

หาประโยชน์จากพลังอัตลักษณ์ สวมเขาให้เยาวชน

 การรวมตัวของบรรดาเยาวชนชาย-หญิง ภายใต้คอนเซป อนุรักษ์วัฒนธรรมมลายู เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของเยาวชน เมื่อวันที่ 7 - 8 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงวันเฉลิมฉลอง วันฮารีรายออีดิ้ลฟิตรี  ฮ.ศ.1440 ที่จัดขึ้น  ณ  มัสยิด กรือเซะ จ.ปัตตานี และตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในสามจังหวัดชายแดนใต้  มีวัตถุประสงค์เพื่อ ฟื้นฟู อนุรักษ์ วัฒนธรรมมลายู พร้อมกับเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม มากกว่า 3,000 คน โดยกิจกรรมหลักในงาน จะมีการถ่ายรูปหมู่ ในขณะสวมใส่ชุดรายอ การฟังบรรยายประวัติศาสตร์จากวิทยากรที่มีความรู้ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยการเก็บขยะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นที่น่าชื่นชมกับกลุ่มเยาวชนที่ออกมาแสดงออกถึงอัตลักษณ์ในพื้นที่ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน ทำให้ผู้เขียน เกิดความสงสัยและอยากรู้ขึ้นมาว่า...ใครเป็นผู้ริเริ่มการจัดกิจกรรมในครั้งนี้?  
หัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมก็ คือ นายฮาซัน ยามาดีบุ ประธานสำนักบุหงารายา และนายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ประธานมูลนิธินูซันตารา เพื่อเด็กกำพร้า เป็นที่น่าเคลือบแคลงใจว่า...การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีอะไรที่แอบแฝงหรือไม่ ซึ่งเรามาย้อนดูประวัติและวีรกรรมของท่านประธานทั้งสองกันเล็กน้อย
          นายฮาซัน ยามาดีบุ ประธานสำนักบุหงารายา เคยเป็นข่าวฉาวว่า ผลิตเสื้อและสกรีนภาพบนเสื้อที่สื่อไปทางแนวความคิดแบ่งแยกดินแดนจนเป็นข่าวดัง ก่อนจะออกมาแก้ต่างว่า เป็นแค่การโปรโมทเสื้อตาดีกาจังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม นายฮาซัน เป็นพี่ชายของ นายซีระฮารี ยามาดีบุ ซึ่งเป็นสมาชิกแนวร่วมอาร์เคเค ที่ร่วมก่อเหตุยิงแล้วเผา ส.อ.จักรพงษ์  โพนเงิน อายุ 37 ปี และ อส.ธวัชชัย มณีแสง อายุ 31 ปี สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4404 กรมทหารพรานที่ 44 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2550
การเคลื่อนไหวของกลุ่มบุหงารายา    มักจะเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์  การแบ่งแยกดินแดนอยู่บ่อยครั้ง บังหน้าด้วยมูลนิธิที่ดูจะแสนดี แต่แอบขับเคลื่อนแนวทางแบ่งแยกดินแดน หรือการกำหนดใจตนเอง (RSD) นายฮาซัน มักจะออกมาพร้อมกับกลุ่ม NGO ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่คอยจ้องโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ และปกป้องกลุ่มแนวร่วมฯ   ล่าสุด นายฮาซันออกมาเคลื่อนไหว กรณีการปะทะ ที่ บ้านกาตอง อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และคนร้ายซึ่งเป็นแกนนำรายสำคัญ มีหมายจับ ป.วิอาญา 6 หมาย ถูกวิสามัญเสียชีวิต  โดยในขณะเจรจาได้เกิดเพลิงไหม้บ้านหลังเกิดเหตุ เสียหายทั้งหลัง แต่นายฮาซัน กลับเผยแพร่คลิป ปกป้องโจรใต้ และเจ้าของบ้านที่ให้ที่พักพิงเป็นภาษามาเลย์ บิดเบือนข้อเท็จจริงว่า บ้านหลังที่เกิดไฟไหม้ เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ทหารของไทย จำนวน 500 นาย ได้ยิงอาวุธปืน M79 เข้าใส่ จำนวน 7 ลูก
ประธานท่านที่สอง นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ประธานมูลนิธินูซันตารา เพื่อเด็กกำพร้า เป็นที่ปรึกษากลุ่มนักศึกษา PerMAS กลุ่มเยาวชนที่เคลื่อนไหวเรื่อง  การแบ่งแยกดินแดน มูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ หรือ แบดี เป็นแกนนำกลุ่มภาคประชาสังคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้   เป็นพี่เขยนายอัมรีย์ วรรณมาตร (สกุลเดิม/หะยีอาแซ)/ยี       ซึ่งยอมรับว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์ลอบวางระเบิด บริเวณถนน  ณ  นคร อ.เมือง จ.นราธิวาส เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งนายอัมรีย์ วรรณมาตร เป็นลูกชายของนายวาเหะ หะยีอาแซ สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ระดับแกนนำ นายมูฮำหมัดอาลาดี แต่งงานกับยุสรีนา ลูกสาวของนายวาเหะ ซึ่งต่างก็รู้ว่าคนในครอบครัวนี้ ทำอะไร จุดประสงค์ใด การตบตาเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการเปิดมูลนิธิเพื่อเด็กกำพร้า บังหน้า และขอรับเงินทุนจากต่างชาติ  โดยอ้างว่า  เป็นมูลนิธิเพื่อเด็กกำพร้า  ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งภายในประเทศ และแสวงประโยชน์ โดยการสอนเด็ก  ปลุกระดม ให้มีความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และมีแนวความคิดแบ่งแยกดินแดน
ด้วยความอยากรู้ของผู้เขียนว่า ในกิจกรรมดังกล่าว มีการบรรยายอะไรที่เป็นที่น่าสนใจบ้าง? จึงได้สอบถามเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ณ มัสยิดกรือเซ๊ะ ทำให้รู้ว่า... การบรรยายประวัติศาสตร์ของวิทยากรที่มีความรู้ กับการสอดแทรกด้วยบาดแผลในอดีต ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชน ให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่า ปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครอง  โดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี และความเกลียดชังระหว่างรัฐปาตานีกับรัฐไทย  ประสมโรงด้วยความรู้สึกส่วนตัว
อีกทั้งเยาวชนบางกลุ่มที่เข้าร่วมงานถูกคัดมาจากโรงเรียนตาดีกาที่ถูกบ่มเพาะ และปลูกฝังอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนแล้ว ส่วนเยาวชนคนอื่นๆ ก็ถูกเชิญชวนผ่านสื่อโซเซียล ซึ่งบางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ถูกหลอกมาเป็นเครื่องมือและเป็นตัวประกอบในงาน 
การจัดกิจกรรม อนุรักษ์วัฒนธรรมมลายู เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของเยาวชน เพื่อเฉลิมฉลอง วันฮารีรายออีดิ้ลฟิตรี ฮ.ศ.1440 เป็นกิจกรรมดีๆ ที่น่าส่งเสริม แต่กลับถูกแสวงประโยชน์จากกลุ่มขบวนการ สร้างวาทกรรม เพื่อสนองอุดมการณ์จอมปลอม เท่านั้นเอง

.........................................

6/15/2562

ความรู้สึกของภรรยาเมื่อ นายอิสมาแอ มอซู ถูกจับ

           เมื่อ 14  มิ.ย.62 ,1130 ในขณะที่  ร้อย.ทพ.4315 ตั้งด่านตรวจ หน้าฐานปฏิบัติการ บ.นิคมโคกโพธิ์ ต.โคกโพธิ์ จว.ป.น. พบบุคคลต้องสงสัย ขับขี่ รถ จยย.ใส่หมวกกันน๊อคเต็มใบ จาก อ.เทพา มุ่งหน้า อ.โคกโพธิ์ เมื่อใกล้ถึงด่าน  ได้วนรถกลับทางเดิม   ผบ.ร้อย.ทพ. 4315 เห็นชายดังกล่าว มีพิรุธ  จึงได้ขับรถยนต์กระบะ ไล่ติดตาม และสามารถสกัดจับไว้ได้ ในพื้นที่ บ.ตาแปด อ.เทพา จว.ส.ข. จึงได้ควบคุมตัวมายัง ฐานปฏิบัติการ ร้อย.ทพ.4315  พบว่า ผู้ต้องสงสัย คือ นายอิสมาแอล มอซู   ซึ่งเป็นชาว ต.ท่าม่วง  อ.เทพา  จว.ส.ข. เป็นเป้าหมายสำคัญ ที่ นปพ.ร่วม จว.ป.น./ฉก.ทพ.43  ติดตามตัวมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมตรวจยึด รถ จยย. ของใช้ส่วนตัว หลายรายการ โดยพฤติกรรม นายอิสมาแอ  มอซู : ผกร./ปฏิบัติการ เป็น บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา 4 หมาย ดังนี้
          1.หมาย ป.วิอาญา ที่ 759/51 ลง 20 ก.ย.51 ร่วมกันยิงนายจำนงค์ เจียมจันทร์ เสียชีวิต ที่ถนนลำไพล-สะบ้าย้อย ม.1 ต.ลำไพล อ.เทพา  จว.สงขลา เมื่อ 20 เม.ย.49 เวลาประมาณ 07.50 น.
         2.หมาย ป.วิอาญา ที่ 761/51  ลง 20 ก.ย.51 ร่วมกันยิงนายสมศักดิ์ รักชาติ ปลัดอำเภอ เสียชีวิต ที่ถนนลำไพล-เทพา ม.3 ต.ลำไพล อ.เทพา  จว.สงขลา เมื่อ 9 ม.ค.48  เวลาประมาณ 16.30 น.
         3.หมายจับที่ 339/60  ลง  15 พ.ค.60  เหตุลอบวางระเบิดห้างบิ๊กซี อ.เมือง จว.ป.น. เมื่อ 9  พ.ค.60 เนื่องจากถูกซัดทอดว่า  เป็นผู้ลวงนายนุสนธิ์ ขจรคำ มาฆ่า แล้วชิงรถไปประกอบระเบิด  
        4.หมายจับที่ 167/2560  ลงวันที่  20 พ.ย.60  คดี ตรวจยึดอาวุธปืนสงคราม พื้นที่ อ.ควนโดน จ.สตูล เมื่อ 16  พ.ย.60
        ระหว่างขยายผลตรวจค้นบ้าน น.ส.นุรฮูดา มะดีเมาะ ภรรยา นาย อิมาแอ มอซู (ผู้ถูกจับกุม) ปัจจุบันเป็น นักวิชาการศึกษา สำนักงานการศึกษาเอกชน อ.โคกโพธิ์ มีลูกด้วยกัน 3 คน ในพื้นที่ ต.ท่าม่วง อ.เทพา จว.ส.ข. ระหว่างที่ทำการตรวจค้น บ้านของนาย อิสมาแอ จึงเชิญ ภรรยา มาเป็นพยาน ซึ่งภรรยาได้ต่อว่า จนท. ปรักปรำ ใส่ร้ายสามีตนเอง มาโดยตลอด จึงต้องหลบๆซ่อนๆ มาถึงทุกวันนี้  เพื่อให้ภรรยาเข้าใจถึงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว  จึงได้เชิญตัวมา ณ ฉก.สงขลา เพื่อรับฟังคำสารภาพ ในคลิปวิดีโอ   โดยมี ผญบ.ร่วมเป็นพยานด้วย หลังจากดูคลิปคำสารภาพ นั้น   ภรรยาของนาย อิสมาแอฯ ถึงกับ ร้องไห้ โฮ ออกมา.....ด้วยความเสียใจ

       ช่วยเหลือขบวนการ  ทุ่มเทเพื่อขบวนการ  แล้วครอบครัว “ฉัน”  โจรใต้ นั้น คงดูแล....ให้?


******************