"Ibrahim"
โรงเรียนหลายแห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับจดหมายลึกลับส่งถึงผู้อำนวยการ
เขียนให้เข้าใจได้ว่ามาจากกลุ่มบีอาร์เอ็น
ชี้แจงสาเหตุของความจำเป็นที่ต้องต่อสู้ด้วยอาวุธ เพื่อให้ได้มาซึ่ง “พื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธี”
จดหมายดังกล่าวถูกใส่ซองปิดผนึก
ส่งทางไปรษณีย์ ต้นทางจากไปรษณีย์ปาลัส อ.มายอ จ.ปัตตานี จ่าหน้าด้วยลายมือ
เขียนด้วยปากกาเป็นภาษาไทย ส่วนตัวเนื้อจดหมายพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทย
อ้างถึงจุดเริ่มต้นการต่อสู้ของชาวปาตานี
ซึ่งเป็นการต่อสู้แบบสันติวิธีผ่านข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง ลองมาไล่เรียงชำแหละเป็นข้อๆ
กันดูเมื่อเวลาได้เปลี่ยนผ่าน 60 กว่าปีกับข้อเรียกร้องดังกล่าว
ข้อ 1 ผู้ปกครองใน 4 จังหวัด คือ ปัตตานี, ยะลา,
นราธิวาส และสตูล ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูปัตตานี นับถือศาสนาอิสลาม
จึงสมควรให้มีผู้ปกครองในพื้นที่ และได้รับเลือกจากคนในพื้นที่
โดยให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม และแต่งตั้งข้าราชการในพื้นที่
ข้อเรียกร้องข้อ
1 การกระจายอำนาจการการปกครองจากส่วนกลางลงไปสู่ท้องถิ่น ปกติมีอยู่แล้วซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบของ อบจ.,อบต.และเทศบาล ส่วนการกระจายอำนาจในรูปแบบอื่นๆสามารถกระทำได้เช่นกัน แต่จะต้องเป็นรูปแบบการปกครองพิเศษ ดั่งเช่น กรุงเทพมหานคร
และเมืองพัทยา เพราะฉะนั้นการเปิดช่องทางดังกล่าวสามารถกระทำได้
แต่จะต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยหาทางออกของบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่าย ในการหามาตรการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาร่วมกัน
ข้อ
2 ให้ข้าราชการใน 4 จังหวัด เป็นคนในพื้นที่ ร้อยละ 80%
ข้อเรียกร้องข้อ
2 ในปัจจุบัน ในพื้นที่ชนบทจะมีพี่น้องไทยมุสลิมอาศัยอยู่ 100% การอยู่ร่วมแบบสังคมพหุวัฒนธรรมจะมีแต่ในเขตชุมชนเมือง หัวเมืองเศรษฐกิจเท่านั้น
ส่วนข้าราชการที่เป็นพี่น้องมุสลิมลองไปไล่เรียงตัวดู ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ
ผู้กำกับสถานีตำรวจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดล้วนแล้วเป็นพี่น้องมุสลิม
ครูบาอาจารย์ในพื้นที่ชนบทหลายๆ แห่ง หลายโรงเรียนไม่หลงเหลือคนไทยพุทธอยู่เลย
รวมถึงข้าราชการทหารที่เป็นคนไทยมุสลิมสามารถก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งคุมกองทัพของประเทศได้
อย่างเช่น พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
ข้อ
3 ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ ควบคู่ไปกับภาษาไทย
ข้อ
4 ให้มีการใช้ภาษามลายู ควบคู่กับภาษาไทยเป็นสื่อ
ในการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษา
ข้อเรียกร้องข้อ 3 ข้อ 4
การเปิดกว้างในเรื่องภาษามลายู รัฐบาลสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องคงความเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ไว้
ในปัจจุบันข้าราชการส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นคนไทยมุสลิม
การใช้ภาษาในการติดต่อราชการที่ได้สัมผัสมาแทบไม่ค่อยได้ยินภาษาไทยเลย
นอกจากนั้นรัฐยังให้ความสำคัญในเรื่องของภาษาไม่ว่าสถานที่ราชการ ป้ายบอกทาง
ชื่อถนนหนทางต่างๆ จะมีถึง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย จีน อังกฤษ และภาษามลายู
มีสถานีวิทยุกระจายเสียงออกอากาศภาคภาษามลายู
รวมทั้งได้มีการอนุมัติงบประมาณในการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ออกอากาศเป็นภาษามลายูซึ่งได้มีการเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
ข้อ
5 ให้มีศาลพิจารณาคดีตามกฎหมายอิสลาม เพื่อแยกขาดจากศาลยุติธรรมของทางราชการ
โดยให้ดาโต๊ะยุติธรรม มีเสรีในการพิพากษาชี้ขาด
ข้อเรียกร้องข้อ 5 ไม่ขอออกความเห็นเป็นเรื่องของกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ประชาชนทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
มีความเท่าเทียมกัน
ข้อ
6 ภาษีและรายได้ที่จัดเก็บได้ในพื้นที่ 4 จังหวัด ให้ใช้ในพื้นที่ 4
จังหวัดเท่านั้น
ข้อเรียกร้องข้อ 6 เวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา
กับความจริงในปัจจุบัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยการอนุมัติงบประมาณตามโครงการต่างๆ เยอะแยะมากมาย
เม็ดเงินงบประมาณที่ลงมามากกว่าเงินภาษีที่จัดเก็บได้ในพื้นที่แห่งนี้หลายเท่า
ไม่ว่าจะเป็นโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจเมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โครงการปรับปรุงถนน 37
เส้นทางซึ่งหากเป็นจังหวัดอื่นๆ ยังคงต้องรองบประมาณกว่าจะดำเนินก่อสร้างได้
ข้อ
7 ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจในการออกกฎ
ระเบียบที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนา โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามข้อ 1
ข้อเรียกร้องข้อ 7
บทบาทของผู้นำศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน อำนาจในการออกกฎ
ระเบียบที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนา
มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในแต่ละจังหวัดอยู่แล้วในการขับเคลื่อน
โดยไม่แย้งกับ กฎ ข้อระเบียบของสำนักจุฬาราชมนตรีที่ดูแลพี่น้องชาวไทยมุสลิมในภาพรวมทั้งประเทศ
สำหรับข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง
เวลาได้ผ่านมา 60 กว่าปีแล้ว หากเปรียบเทียบกับชีวิตของคนวัยทำงาน
เปรียบได้กับข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ หากเรามองด้วยใจเป็นกลางถึง ข้อเรียกร้อง 7 ข้อในปัจจุบันนี้
บางข้อในอดีตอาจจะไม่มีหรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมยิ่งกว่าภูมิภาคอื่นๆ
เสียอีก
ส่วนเนื้อความในจดหมายอ้างว่าการต่อสู้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน
โดยเหล่านักต่อสู้เพื่ออิสรภาพปาตานี ซึ่งมีบีอาร์เอ็นเป็นองค์กรนำ
จำเป็นต้องต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อให้ได้มาซึ่ง “พื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธี”
โดยบีอาร์เอ็นเน้นย้ำว่าจะไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน
แต่สาเหตุที่ยังมีการโจมตีอยู่ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเอง
ส่วนการต่อสู้ด้วยอาวุธจะยุติลงเมื่อใด ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยว่าจะเปิดพื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธีให้เมื่อใด?
ในส่วนนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ
บิดเบือนข้อเท็จจริง อ้างความชอบธรรมในการต่อสู้ เพื่อให้ได้มา “พื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธี”
ไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน
แล้วเสียงปืน เสียงระเบิดตูมๆ
อย่างเช่นระเบิดคาร์บอมบ์น้ำหนัก 200 กิโลกรัม ที่บริเวณหน้าสหกรณ์รวมพลังในหมู่บ้านปิยา
ม 3 ต ปิยามุมัง อ.ยะหริ่ง จ ปัตตานี เมื่อวันที่ 18 พ.ย.59 นี่หรือ?
ไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน
หลายๆ
เหตุการณ์ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนความจริงกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด
เพราะกลุ่มขบวนการไม่เคยกล้าที่ประกาศรับผิดชอบใดๆ ต่อการกระทำ
อีกทั้งยังกล่าวอ้างการก่อเหตุจยุติลงเมื่อได้
ขึ้นอยู่กับรัฐไทยว่าจะเปิดพื้นที่การต่อสู้ด้วยสันติวิธีให้เมื่อใด
แล้วการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยของรัฐบาลในปัจจุบันกับผู้คิดต่างจากรัฐ โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
ไม่ใช่การเปิดพื้นที่การพูดคุยหรอกหรือ?
การโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการ “เพื่อเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น”
โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลข่าวสาร อย่าหลงกลตกเป็นเครื่องมือ “แนวร่วมมุมกลับ”
ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โปรดคิดแยกแยะ "ตั้งสติ"
สอนใจ ก่อนโพสต์-ก่อนแชร์อะไร..? ควรคิดทบทวน-ไตร่ตรอง
"ของแท้ของเทียม"
ขณะที่แม่ทัพนายกองอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 สน. ก็ยังไม่มีน้ำยาในการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนเรื่องแบบนี้ นานๆ จะเห็นออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งก็ทำได้แค่เพียงการ PR มากกว่าจะสร้างความเข้าใจให้กับคนในพื้นที่ ได้เข้าใจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแท้จริง การโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการจึงเป็นโจทย์แรกๆ ที่รัฐจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น