11/27/2559

“ยิงหญิงไทยพุทธท้องแก่ใกล้คลอด”ความรุนแรงที่คนร้ายตั้งใจ!!

"Ibrahim"

เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้ ความป่าเถื่อน ความสุดโต่งถึงได้ระบาดหนักบนผืนแผ่นดินปาตานี การกระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ เด็ก สตรีที่ไม่มีทางต่อสู้ โดยเฉพาะกระทำต่อผู้หญิงที่กำลังท้อง 9 เดือน จิตใจทำด้วยอะไร? นี่หรือ? แนวทางการต่อสู้ของนักรบฟาตอนี นักรบของกลุ่มขบวนการน่าจะเป็นนักรบหน้าตัวเมียเสียมากกว่า
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเวลาประมาณ 19.20 น. วันที่ 26 พ.ย.59 เมื่อ นางสายใจ ทองดี อายุ 26 ปี และ น.ส.รัตติกาล จ่าวัง อายุ 26 ปีเช่นกัน ซึ่งทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอปะนาเระ โดย น.ส.รัตติกาล จ่าวัง กำลังตั้งครรภ์ 9 เดือน ทั้งคู่เดินจับจ่ายซื้อของในตลาดปาลัสโดยไม่คิดเฉลียวใจ มัจจุราช กำลังมาเยือน
โจรใต้ในคราบซัยตอน 2 ตน มาทำทีซื้อไก่ทอด หลังจากซื้อเสร็จ ก่อนจะเดินกลับได้ใช้อาวุธปืนยิงทั้งสองคน น.ส.รัตติกาล จ่าวัง ซึ่งกำลังตั้งท้อง 9 เดือนเสียชีวิตทันที ส่วน นางสายใจ ทองดี ได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รีบนำร่าง น.ส.รัตติกาล จ่าวัง ส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ผ่าท้องช่วยชีวิตเด็ก สำหรับเด็กในครรภ์ผู้เสียชีวิต แพทย์แจ้งว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว และแพทย์ได้ทำการผ่าตัดนำเด็กออก
จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าวได้สร้างความหดหู่ใจให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ผู้คนต่างสาปแช่งต่อการกระทำดังกล่าวของกลุ่มขบวนการโจรใต้ที่ขาดความยั้งคิดในครั้งนี้ โดยเฉพาะต่อเป้าหมายอ่อนแอผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอดเป็นคุณแม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ซัยตอนกลับมาพรากชีวิตทั้งแม่และลูกไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
เหตุสลดครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากผ่าน วันต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กสากลได้เพียง 1 วัน ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ 25 พ.ย.59 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเครือข่ายผู้หญิงได้จัดกิจกรรมเรียกร้องให้มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง
จากข้อมูล 13 ปีที่ผ่านมาของปัญหาไฟใต้ ตัวเลขเด็กกำพร้าที่เกิดจากความรุนแรงที่กลุ่มขบวนการได้ก่อขึ้นมียอดสูงถึง 5,000 คน และในระยะหลังนี้กลุ่มขบวนการโจรใต้ได้มุ่งเป้าทำการก่อเหตุหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ซึ่งเป็นกลุ่มคนไทยพุทธ

การก่อเหตุของคนร้ายในครั้งนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจเจาะจงกระทำต่อผู้หญิงโดยเฉพาะท้องแก่ใกล้คลอด กระทำต่อชาวไทยพุทธเพื่อต้องการสร้างความหวาดระแวง สร้างความแตกแยก สุดท้ายหวังผลให้หวาดกลัวต้องอพยพหนีตายขายที่ทางถูกๆ ให้กับมุสลิมไปอาศัยอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่บรรพบุรุษปู่ย่าตายายเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้อย่างสงบสุข อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติและศาสนา แต่มีกลุ่มขบวนการเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกกัน
หลายต่อหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมและบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มขบวนการ หรือมีการปะทะกันจนนำไปสู่ความสูญเสียต่อกลุ่มขบวนการ จะมีการตอบโต้อย่างฉับพลันทันทีทันใดเป้าหมายของกลุ่มขบวนการคือ ผู้อ่อนแอ เด็ก สตรี โดยเฉพาะกลุ่มชาวไทยพุทธในพื้นที่จะต้องรับชะตากรรม...แล้วมันถูกต้องแล้วหรือ? คนเหล่านี้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย
หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับญาติพี่น้องหรือคนใกล้ตัวของผู้ที่ลงมือก่อเหตุบ้างจะรู้สึกเช่นไร? ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่สามารถทดแทนด้วยสิ่งใด การเยียวยา ไม่สามารถเยียวยาจิตใจความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียได้ จะหันหน้าไปพึ่งพาอาศัยองค์กรภาคประชาสังคมก็เหนื่อยล้าเต็มที!!   มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นประเด็นการซ้อมทรมานตั้งการ์ดเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียว ปกป้องคนผิดสุดโต่ง แล้วสังคมจะอยู่รอดได้อย่างไร? พฤติกรรมการกระทำขัดแย้งกับแนวทาง องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อประชาชนและสังคมแต่สิ่งที่เป็นอยู่คือ องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อปกป้องกลุ่มขบวนการซะมากกว่า!!

--------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น